ชาวเมืองแพร่เอาชนะมะเร็งระยะสุดท้ายด้วย...ใบทุเรียนเทศหรือใบทุเรียนน้ำ

เปิดประสบการณ์สุดอัศจรรย์ ชาวเมืองแพร่ ดื่มน้ำต้มใบทุเรียนเทศ รักษามะเร็งจนหาย ร่างกายกลับเป็นปกติเกือบ 100%


นายพินิจ แสงสร้อย อายุ 52 ปี ทนายความจากจังหวัดแพร่ ได้เปิดเคล็ดลับสุดอัศจรรย์ในการเอาชนะโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ด้วยการดื่มน้ำต้มใบทุเรียนเทศ สมุนไพรจากภูมิปัญญาชาวบ้าน

โดย นายพินิจ เปิดเผยว่า เริ่มแรกที่ป่วยเขามีอาการเหมือนมีก้อนเนื้อขึ้นที่ลำคอ จนเริ่มขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งตนได้พยายามรักษาด้วยวิธีตามธรรมชาติและทานยาสมุนไพร แต่ก็ไม่หายดี กระทั่งวันที่ 28 ธันวาคม 2557 ก้อนเนื้อที่ลำคอเกิดแตก เขาจึงเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลแพร่ โดยแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หลังจากรักษาแผลที่คอแล้วเขาก็ได้กลับมารักษาตัวต่อไปบ้าน ซึ่งทุกคนในบ้านต่างช่วยกันพยายามหาแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งที่มีฝีมือ จนกระทั่งมีคนแนะนำให้ไปพบแพทย์ที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตนก็ไปรักษา ขณะนั้นแพทย์ระบุว่าว่ามะเร็งที่ลำคอแตกออกและยังมีเลือดไหลอยู่เรื่อย ๆ ทั้งยังได้ขยายลงไปสู่ปอดกับตับแล้ว ต้องอยู่รอดูอาการต่อไป

หลัง จากทราบการวินิจฉัยโรคแล้ว นายพินิจจึงกลับมาบ้านด้วยความหมดหวัง ในขณะที่ก้อนเนื้อตรงลำคอก็เริ่มโตขึ้นอีก จนกระทั่ง นายภัคพงษ์ แสงสร้อย น้องชายซึ่งทำงานอยู่ที่สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แนะนำให้ตนลองนำใบทุเรียนเทศมาต้มดื่มกิน ทำให้ตนเริ่มมีความหวังอีกครั้งจึงรีบไปหาใบทุเรียนเทศที่จังหวัดลำพูน นำมาต้มให้เข้มข้นจนน้ำกลายเป็นสีดำ ดื่มทุกวัน 3 เวลา





นับตั้งแต่นายพินิจเริ่มดื่มน้ำใบทุเรียนเทศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผ่านไป 20 วัน ปรากฏว่าเลือดที่ไหลออกจากคอก็เริ่มแห้ง และก้อนเนื้อก็เริ่มยุบลงเรื่อย ๆ กระทั่งล่าสุดได้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจมะเร็งเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา แพทย์ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเชื้อมะเร็งที่ขยายลงไปที่ตับและปอดได้หายไปหมด แล้ว ส่วนที่ลำคอจากมะเร็งระยะ 4 กลับดีขึ้น กลายเป็นระยะ 1 จนแม้แต่แพทย์ยังไม่อยากเชื่อกับอาการที่ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดนี้

ทั้ง นี้อาการในปัจจุบันของนายพินิจนับว่าดีขึ้นจนเกือบจะเป็นปกติ สามารถทำงาน ขับรถ ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามเดิม เมื่อเปรียบเทียบกับ 3-4 เดือนที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงต้องต้มใบทุเรียนเทศดื่มต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหายเป็นปกติ และยืนยันว่าตั้งแต่ดื่มน้ำต้มใบทุเรียนเทศมาก็ไม่ทานยาอย่างอื่นเลย เนื่องจากเกรงว่าตัวยาอาจทำลายสรรพคุณได้




ที่มา : http://health.kapook.com/view117755.html



Share on Google Plus

About แบ่งปันสาระ

แบ่งปันสาระ แหล่งรวมข่าวสาร,บันเทิง,สาระน่ารู้,Life Style , สุขภาพ,โรคภัย,สมนไพร,
    Facebook
    Blogger Comment