“ไข่ปลาคาเวียร์” และ “หอยทาก” ล้วนเป็นอาหารขึ้นชื่อทั้งในประเทศฝรั่งเศส และตามร้านอาหารสุดหรูทั่วโลกด้วยกันทั้งคู่ แต่เมื่อไม่นานมานี้ได้มีเทรนด์ใหม่เกิดขึ้นในวงการอาหารฝรั่งเศส เมื่อบรรดาเชฟเริ่มนำ “ไข่หอยทากคาเวียร์” (escargot caviar) มาประกอบอาหารหรู และมีการบรรจุกระป๋องส่งขายตามห้างดังทั้งในยุโรปและอเมริกา ในราคาเริ่มต้นที่กระป๋องละกว่า 2 พันบาท
ถ้าเห็นคาเวียร์ชนิดนี้เสิร์ฟมาใน อาหารจานหรูโดยไม่บอกว่าเป็น “ไข่หอยทาก” เชื่อว่าหลายคนคงตักใส่ปากได้อย่างไม่ลังเล เพราะไข่ดังกล่าวมีหน้าตาละม้ายคล้ายไข่ปลาแซลมอนที่อยู่ในอาหารญี่ปุ่น รวมถึงไข่แมงดาและไข่ปลาริวกิวของบ้านเรา เพียงแต่มีขนาดและสีสันต่างกัน
แต่พอรู้ว่าเป็น “ไข่ หอยทาก” บางคนอาจถึงกับตะลึง อ้าปากค้าง และคิดหนักว่าจะตักใส่ปากดีหรือไม่ ถึงแม้ไข่ดังกล่าวจะมีชื่อเรียกเก๋ๆ ว่า “ไข่หอยทากคาเวียร์” และถูกจัดเข้าทำเนียบอาหารหรูหรา หาทานยาก เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ตาม
ความจริงเรื่อง “ไข่หอยทากคาเวียร์” เคยสร้างความฮือฮามาแล้วครั้งหนึ่งสมัยที่เพิ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อ ประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว แต่หลังจากที่มีการว่าจ้างเชฟชื่อดังให้ช่วยเดินสายโปรโมทไข่ดังกล่าวในวง การอาหารและภัตตาคาร ก็ยิ่งทำให้ “ไข่หอยทากคาเวียร์” เป็นที่ยอมรับในหมู่แฟนพันธุ์แท้อาหารหรูทั่วโลก
ปัจจุบัน เริ่มมีการนำไข่หอยทากมาบรรจุลงกระป๋อง แล้วนำไปวางจำหน่ายตามห้าง/ร้านหรูที่ยุโรปรวมถึงห้างแฮร์รอดส์ และที่เว็บไซต์ Plantin ของสหรัฐอเมริกาด้วย
ถึงจะเริ่มวางจำหน่ายอย่างแพร่หลายใน หลายประเทศที่ยุโรป อาทิ อังกฤษ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก ฯลฯ แต่ตลาดหลักที่แท้จริงก็คือ ประเทศฝรั่งเศส และญี่ปุ่น!
“ไข่หอยทากคาเวียร์” (escargot caviar) ที่ว่านี้ ผลิตและจำหน่ายโดย “De Jaeger” ซึ่งเป็นฟาร์มหอยทากในประเทศฝรั่งเศส สาเหตุที่ถูกจัดว่าเป็นอาหารหรูหรา หายาก และมีราคาแพงนั้น ก็เนื่องมาจากในรอบ 1 ปี หอยทากแต่ละตัวจะออกไข่เพียงแค่ 4 กรัมหรือประมาณ 100 ฟองเท่านั้น
มิหนำซ้ำ เจ้าหน้าที่ภายในฟาร์มจะต้องค่อยๆ เก็บไข่หอยทากด้วยมืออย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้บอบช้ำ จากนั้นจึงส่งเข้าห้องแล็ป (ของฟาร์ม) ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอียู เพื่อผ่านกระบวนการต่างๆ เช่น ทำความสะอาด คัดเลือกเฉพาะไข่ที่มีคุณภาพ อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ฯลฯ จากนั้นจึงทำการตกแต่งรสชาติ โดยนำไปแช่ในน้ำเกลือ “fleur de sel de Guérande” ซึ่งเป็นเกลือคุณภาพดีระดับโลก แล้วผสมด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกโรสแมรี่ เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ “ไข่หอยทากคาเวียร์” น้ำหนัก 1 กิโลกรัมที่ส่งขายให้กับบรรดาเชฟตามภัตตาคารหรู จึงมีราคาสูงถึง 1,200 ยูโร หรือกว่า 5.5 หมื่นบาท ซึ่งต้องใช้หอยทากในการผลิตทั้งสิ้น 260 ตัว สำหรับราคาขายปลีกตามห้าง กระป๋องขนาด 50 กรัม มีราคาขายประมาณ 82 ยูโร หรือราวๆ 3.8 พันบาท ส่วนขนาด 30 กรัม จะอยู่ที่ประมาณ 49 ยูโร หรือราวๆ 2.3 พันบาท (ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศที่วางจำหน่าย)
ส่วนการวางจำหน่ายในห้างแฮร์รอดส์นั้น จะมีทั้งหมด 4 ขนาดด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ขนาดเล็กที่สุด คือ 30 กรัม จำหน่ายในราคากระป๋องละ 65 ปอนด์ (กว่า 3.4 พันบาท) ไปจนถึงขนาด 250 กรัม ในราคา 650 ปอนด์ (กว่า 3.4 หมื่นบาท)
“ไข่หอยทากคาเวียร์” สามารถรับประทานได้ทั้งแบบทานเปล่าๆ หรือนำไปประกอบอาหารหรู ส่วนทางด้านรสชาตินั้นหลายคนบอกว่าอร่อยไม่แพ้ไข่ปลาคาเวียร์ที่ได้มาจากปลา “สเตอร์เจี้ยน” เลยทีเดียว
เจ้าของฟาร์มหอยทากที่ไอเดียบรรเจิด คิดผลิต “ไข่หอยทากคาเวียร์” ออกมาขาย เป็นชาวฝรั่งเศสชื่อว่านายโดมินิค ปิแอร์รู ในอดีตเขาเคยเป็นช่างรับเหมาติดตั้งเครื่องครัวตามบ้าน เมื่อเห็นว่างานรับเหมาที่ทำอยู่คงไม่รุ่ง จึงตัดสินใจลงทุนทำธุรกิจฟาร์มหอยทากในแคว้นพิคาร์ดี้ ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ. 2004
ฟาร์มของเขามีหอยทากทั้งหมด 180,000 ตัว หอย ทากทุกตัวได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มีการจัดสภาพแวดล้อมภายในโรงเรือนให้เหมาะสม เขาให้บรรดาหอยทากกินผักและธัญพืชที่คัดสรรมาอย่างดี เพื่อให้มีเนื้อที่อ่อนนุ่มและรสชาติดี
เท่านั้นยังไม่พอ เขาได้ทุ่มเทเวลาศึกษาวิจัยในเรื่องการนำ “ไข่หอยทาก” มาบริโภคเป็นอาหารนานถึง 3 ปี โดยคิดค้นวิธีทำให้ไข่หอยทากอ่อนนุ่มละมุนลิ้น เก็บรักษาได้นานๆ รวมทั้งวิธีที่จะทำให้หอยทากผลิตไข่ออกมาอย่างสม่ำเสมอ และมีปริมาณเพียงพอที่จะนำมาขาย ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จและนำ “ไข่หอยทากคาเวียร์” มาเปิดตัวครั้งแรกในโลกเมื่อปี 2007
ปัจจุบันนี้ บรรดาเชฟตามภัตตาคารหรูได้นำ “ไข่หอยทากคาเวียร์” จากฟาร์มของเขาไปบรรจุไว้ในเมนูอาหาร ส่วนที่นำไปบรรจุลงกระป๋องขายตามห้างร้านก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยในปี 2008 เขาขายไข่หอยทากคาเวียร์ได้ทั้งสิ้นจำนวน 200 ก.ก. ส่วนเมื่อปีที่แล้วขายได้ทั้งสิ้น 300 ก.
หน้าตาอาหารคาวหวานและอาหารญี่ปุ่น ที่มี “ไข่หอยทากคาเวียร์” เป็นส่วนประกอบ:
Facebook
Blogger Comment